เชื่อว่าผู้เรียนภาษาญี่ปุ่นหลายคน ไม่ว่าจะเป็นระดับต้นหรือระดับสูง ย่อมคุ้นเคยกับชื่อ JLPT หรือ Japanese-Language Proficiency Test เป็นอย่างแน่นอน เพราะเป็นการสอบชื่อแรก ๆ ที่คนเรียนภาษาญี่ปุ่นจะได้รู้จักและลองลงสนามสอบจริงกันทุกปี ส่วนการสอบอื่น ๆ เช่น J-Test หรือ BJT จะยังเป็นที่รู้จักในวงแคบกว่า และมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป
JLPT สอบเมื่อไร
การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น JLPT จะจัดสอบปีละ 2 ครั้ง ทุก ๆ อาทิตย์แรกของเดือนกรกฎาคมและเดือนธันวาคม พร้อมกันทั่วโลก โดยเป็นข้อสอบข้อกาทั้งหมด ไม่มีการสอบเขียนหรือพูด แต่มีการสอบฟังและผู้เข้าสอบจะมีโอกาสฟังเพียง 1-2 ครั้ง ก่อนจะต้องกาคำตอบในเวลาที่จำกัด
การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น JLPT แบ่งเป็นทั้งหมด 5 ระดับคือ
- N5
- N4
- N3
- N2
- N1
โดยระดับ N5 คือระดับที่ง่ายที่สุด ส่วน N1 คือระดับที่ยากที่สุด
ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารหรือศึกษาข้อมูลได้จากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ (ภาษาอังกฤษ/ภาษาญี่ปุ่น) และภาษาไทยที่เว็บไซต์ของสมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น ในพระบรมราชูปถัมภ์
เตรียมตัวยังไงถึงจะสอบ JLPT ได้คะแนนดี
วันนี้ NOVA ONLINE ขอแนะนำวิธีเตรียมสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น เพื่อให้พร้อมสอบครั้งต่อไปอย่างมั่นใจไร้กังวล ใครที่กำลังมีปัญหา กังวลเกี่ยวกับการสอบ หรือขาดคะแนนพาร์ทใดไปเพียงไม่กี่คะแนน มาเรียนรู้ไปพร้อมกันได้เลย
1. ONE NIGHT MIRACLE ไม่มีจริง
สำหรับผู้เริ่มต้นเรียนภาษาญี่ปุ่น อาจยังไม่ค่อยเห็นภาพมากนัก แต่ผู้สอบที่เคยสอบมาก่อนแล้ว น่าจะเข้าใจประโยคนี้ได้แทบจะในทันที เนื่องจากภาษาญี่ปุ่นไม่ใช่ภาษาที่เรามีโอกาสได้สัมผัสหรือมีเวลากับมันมากเท่าภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาที่มีบรรจุในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนี้ หลักไวยากรณ์ของภาษาญี่ปุ่นยังแตกต่างไปจากภาษาอื่น ๆ ที่เราคุ้นเคย มีความซับซ้อน และมีตัวอักษรเป็นของตัวเอง ดังนั้น การตะบี้ตะบันอ่านหนังสือสอบในคืนก่อนสอบ หรือแม้แต่การเตรียมตัวช่วงใกล้สอบ โดยมีระยะเวลาแค่เพียง 1-2 เดือนนั้น ไม่เพียงพอต่อการสอบวัดระดับ JLPT อย่างแน่นอน หากคุณมีเป้าหมายจะสอบ JLPT ควรมีเวลาเตรียมตัวอย่างน้อยประมาณ 6 เดือนขึ้นไป
2. ความสม่ำเสมอคือหนทางสู่ความสำเร็จ
ต่อจากข้อบน ผู้ศึกษาภาษาญี่ปุ่นควรหมั่นทบทวนและเพิ่มพูนความรู้ภาษาญี่ปุ่นอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าจะยังไม่เห็นผลในทันที แต่หากพยายามอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน คุณจะมีโอกาสทำคะแนนสอบได้ดีขึ้นกว่าครั้งก่อนอย่างแน่นอน นอกจากการหาความรู้เพิ่มเติมแล้ว การหมั่นทบทวนสิ่งที่เคยเรียนมาก่อน เช่น คำศัพท์ง่าย ๆ ไวยากรณ์ง่าย ๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพราะบางเรื่องหากลืมไปแล้ว ก็อาจส่งผลให้ไม่เข้าใจเนื้อหาในระดับที่สูงขึ้น หรืออาจเสียคะแนนไปอย่างน่าเสียดาย
3. รู้จักจุดอ่อนของตัวเอง
ในการเรียนภาษาญี่ปุ่น ผู้เรียนแต่ละคนอาจมีความถนัด-ไม่ถนัดแตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่แล้วคนไทยที่เรียนภาษาญี่ปุ่นมักจะไม่ถนัดการใช้ไวยากรณ์ และไม่ถนัดการจดจำตัวอักษรคันจิ อย่างไรก็ตาม เมื่อเรารู้ว่าจุดอ่อนของเราคืออะไร จะทำให้เราสามารถอ่านหรือทบทวนเพิ่มเติมในเรื่องที่ไม่ถนัดได้
อย่าเลี่ยงที่จะเรียนรู้ หรือฝึกในเรื่องที่ไม่ถนัด ไม่เช่นนั้นคุณจะไม่สามารถพัฒนาจุดอ่อนของตนเองได้ เช่น หากคุณไม่ถนัดการเขียนคันจิ อาจจะเพิ่มเวลาในการคัด หรือท่องจำตัวอักษรให้มากกว่าเวลาทบทวนเรื่องอื่น ๆ ที่ถนัด หรือหาโรงเรียน ติวเตอร์ในด้านนั้น ๆ เพื่อช่วยแก้ไขจุดอ่อนโดยเฉพาะ
4. อย่ามั่ว โดยไม่มีหลักอ้างอิง
ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่มีหลักการและกฎเกณฑ์ในการใช้ภาษาค่อนข้างชัดเจน (ยกเว้นคำ หรือตัวเฉพาะบางตัว) หากคุณไม่รู้คำตอบ หรือมีเวลาไม่พอในการทำข้อสอบ และจำเป็นต้องรีบกาข้อสอบแล้ว แนะนำว่าอย่าสุ่มกาโดยไม่คิดก่อนแต่ขอให้ “ลองมั่วอย่างมีหลักการ” เพราะบางครั้ง การนำคำ 2 คำ หรือตัวอักษรคันจิมาประสมกัน ก็ให้ความหมายที่ใกล้เคียงกับตัวเดิม และอาจทำให้คุณพอจะ “เดา” ความหมายออกบ้าง ซึ่งอาจจะทำให้คุณมีโอกาสตอบถูกมากกว่าการมั่วโดยไม่อ่านอะไรเลย ในกรณีที่คุณไม่รู้ว่าคำคำนั้นอ่านออกเสียงว่าอย่างไร อาจลองนำเสียงของอักษรเดียวที่อยู่ในคำอื่นมาเทียบเคียง ซึ่งอาจจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องก็เป็นได้
5. สัมผัสกับภาษาญี่ปุ่นเยอะ ๆ ช่วยได้
การสัมผัสกับภาษาญี่ปุ่นเยอะ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง อ่านการ์ตูน หรืออื่น ๆ จะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับการฟังภาษาญี่ปุ่น รวมถึงได้เรียนรู้คำศัพท์ที่อยู่นอกเหนือจากในหนังสือเรียนภาษา วิธีนี้เป็นวิธีเรียนรู้ทางอ้อม ที่อาจไม่ได้ช่วยให้เห็นผลในทันที แต่อาจมีประโยชน์เมื่อคุณทำข้อสอบการฟัง หรือเจอคำศัพท์ที่ไม่รู้จัก แต่ช่วยให้คุณเดาภาพ เดาความหมายจากบริบทได้
6. อย่าละเลยการฝึกฟัง-พูดภาษาญี่ปุ่น
ก่อนสอบ JLPT ผู้เข้าสอบส่วนใหญ่มักจะเน้นไปที่การท่องจำตัวอักษรคันจิ การอ่านไวยากรณ์ แต่น้อยคนที่จะเน้นการฝึกฟังกับพูด ซึ่งความจริงแล้ว แม้ว่าจะไม่มีข้อสอบการพูดในการสอบวัดระดับ แต่ “การฝึกออกเสียง ก็ช่วยให้เราจำคำศัพท์ได้” เนื่องจากสมองและประสาทสัมผัสจะทำงานร่วมกัน เคยสังเกตไหมว่าคำบางคำที่เราเคยพูดออกเสียง เคยทำท่าทางประกอบ เราจะจำได้โดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ลืมเหมือนคำอื่น ๆ ดังนั้น การ “ฝึกพูด” จึงเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้เราจดจำภาษาได้ดี
นอกจากการฝึกพูดเพื่อให้จำได้แล้ว การฝึกฟังก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน แถมยังมีข้อสอบพาร์ทฟังแยกไว้โดยเฉพาะเลยด้วย ซึ่งการฝึกฟังก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถฝึกให้เก่งได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ดังนั้น ผู้มีแผนจะเข้าสอบ JLPT ในครั้งหน้า ควรเริ่มฝึกการฟัง-พูดอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เนิ่น ๆ
โดยทั่วไปหูของเราจะชินกับภาษาต่างประเทศ เมื่อได้สัมผัสกับภาษานั้น ๆ อย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ และใช้เวลาอย่างต่ำประมาณ 2 เดือนเลยทีเดียว
ไม่อยากอ่านหนังสือสอบเอง ต้องลองหาที่ฝึกภาษาเพิ่มเติม
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือเตรียมสอบ JLPT ด้วยตนเอง หรือแม้อ่านด้วยตนเองแล้ว ก็รู้สึกว่ายังทำได้ไม่ดีพอ ขอแนะนำให้ลองหาแหล่งฝึกภาษาเพิ่มเติม เช่น การเล่นเกมภาษา หรือฝึกภาษาแบบที่มีการ Output ข้อมูล เช่น การฝึกเขียนแต่งเรื่องด้วยตนเอง หรือการพูด ไม่ใช่แค่การรับสาร อย่างการฟังและอ่านอย่างเดียว
หรือหากคุณกำลังต้องการเน้นทักษะการฟังภาษาญี่ปุ่น การสนทนาภาษาญี่ปุ่นโดยเฉพาะ สามารถลองมาฝึกภาษาด้วยกันกับเราที่ NOVA ONLINE ก่อนได้ เพราะคอร์สเรียนของเรา เป็นคอร์สเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ออกแบบมาเพื่อเน้นการสื่อสารโดยเฉพาะ นอกจากการอ่านหนังสือสอบด้วยตนเองแล้ว คุณยังสามารถเสริมทักษะหรือแก้ไขจุดอ่อนด้านการฟังภาษาญี่ปุ่นไปกับคาบเรียนของเราได้
สนใจติดต่อสอบถามทีมงาน เพื่อนัดหมายเวลาในการ ทดลองเรียน (ฟรี) ก่อนได้ สำหรับผู้เรียนที่มีพื้นฐาน ควรทดลองเรียนัดระดับภาษาก่อนเริ่มเรียนจริงนะคะ แม้ว่าจะเป็นการเรียนออนไลน์ แต่ก็เป็นการเรียนสด คุยโต้ตอบกับครูญี่ปุ่นแท้ ๆ ที่มีประสบการณ์การสอนภาษาญี่ปุ่นให้นักเรียนชาวไทยมากมาย ช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งจะช่วยให้คุณ พิชิตข้อสอบการฟัง ในรอบถัดไปได้อย่างแน่นอน
ทำไมต้อง NOVA ONLINE ?
- สถาบันระดับ TOP ของญี่ปุ่น ปรับหลักสูตรเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ
- คอร์สเรียนภาษาญี่ปุ่น เรียนสดกับครูคนญี่ปุ่นแท้ ๆ ได้เรียนรู้สำเนียงควบคู่วัฒนธรรม
- คอร์สอังกฤษสอนโดย Professional Teacher ที่คัดเลือกและอบรมมาอย่างดี
- มีทีมงานพร้อมให้คำแนะนำ พัฒนาภาษาอังกฤษ-ภาษาญี่ปุ่นได้ตรงจุด
- คอร์สเรียนออนไลน์ สะดวก เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา
- เลือกคอร์สให้ตอบโจทย์ได้ตามไลฟ์สไตล์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม