ปกติแล้วเราจะคุ้นหูกับการสอบ TOEIC TOEFL และ IELTS ซึ่งเป็นการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพื่อนำไปใช้เป็นหลักฐานว่าคุณมีทักษะภาษาอังกฤษอยู่ในระดับใด เช่น ยื่นผลการวัดระดับเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ หรือยื่นเพื่อใช้ทำงาน และในวาระโอกาสต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ อย่างไรก็ดีการสอบภาษาอังกฤษไม่ได้มีเพียงการสอบเหล่านี้เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการวัดระดับแบบ CEFR อีกด้วย หากคุณสนใจเกี่ยวกับการสอบวัดระดับ CEFR แล้ว บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับการสอบนี้กัน
ทำความรู้จักกับ CEFR
อะไรคือ CEFR?
CEFR หรือ Common European Framework of Reference for Languages คือ มาตรฐานการวัดระดับภาษาอังกฤษที่ได้รับความเชื่อถือภายในทวีปยุโรป เป็นอีกหนึ่งกรอบมาตรฐานที่จะช่วยบ่งชี้ได้ว่าทักษะภาษาอังกฤษของคุณอยู่ในระดับใด ซึ่งจะแบ่งเป็น 6 ระดับ คือระดับ A1 – C2 เรียงจากระดับเริ่มต้นไปถึงระดับเชี่ยวชาญตามลำดับ และนอกจาก CEFR จะใช้เป็นกรอบมาตรฐานสากลของภาษาอังกฤษแล้วยังสามารถใช้กับภาษาอื่นได้อีกด้วย เช่น ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาฮังการี ภาษาอิตาลี และภาษาสเปน เป็นต้น
CEFR แบ่งเป็นกี่ระดับ?
CEFR แบ่งเป็น 6 ระดับ ดังนี้:
A1 Beginner | สามารถเข้าใจและสนทนาเกี่ยวกับชีวิตประจำวันอย่างง่ายได้ เช่น การแนะนำตัวเอง รวมไปถึงการถามถึงรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ เช่น ที่อยู่อาศัยหรือสิ่งของ โดยจะฟังรู้เรื่องและเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อเป็นการพูดอย่างช้า ๆ และชัดเจน |
A2 Elementary | สามารถเข้าใจประโยคสนทนาที่ใช้อยู่บ่อยครั้งได้ เช่น ถามข้อมูลส่วนบุคคลได้ การไปซื้อของ การบอกเล่าเรื่องของตัวเองโดยสังเขป และสามารถสนทนากันโดยที่บรรยายถึงลักษณะของสิ่ง ๆ นั้นหรือสิ่งที่อยู่รอบตัวได้ |
B1 Intermediate | สามารถเข้าใจเนื้อความหลักของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและสนทนาได้ดี เช่น การสนทนาในที่ทำงาน, สถานศึกษา และการท่องเที่ยวได้ นอกจากนี้ยังสามารถสนทนาผ่านหัวข้อต่างๆ ได้ เช่น การพูดถึงงานอดิเรกที่สนใจ หรือการพูดถึงประสบการณ์และเรื่องที่พบเจอมา ความฝัน หรือให้เหตุผลหรืออธิบายความคิดเห็นส่วนตัวได้ |
B2 Upper-Intermediate | สามารถเข้าใจบริบทที่มีความซับซ้อน และเรื่องที่ต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ และสนทนาได้อย่างราบรื่นแม้กระทั่งตอนสนทนากับเจ้าของภาษาโดยอธิบายได้อย่างละเอียด ชัดเจน และพูดถึงเรื่องต่าง ๆ ได้กว้างขวาง เช่น การพูดถึงข้อดีและข้อเสียของปัญหานั้น ๆ ได้ |
C1 Advanced | สามารถเข้าใจภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติแม้เนื้อหาจะมีความหลากหลายและมีเนื้อหาเยอะมากได้ อธิบายความคิดเห็นและความรู้สึกได้อย่างคล่องแคล่วโดยไม่ต้องมีการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการใช้คำภาษาอังกฤษก่อน และสามารถใช้ภาษาได้อย่างยืดหยุ่นอย่างมีประสิทธิภาพอย่างการสนทนาในวงสังคม หรือเชิงวาชาการ เป็นงานเป็นการได้ |
C2 Proficient | สามารถเข้าใจภาษาได้ไม่ว่าจะทั้งแบบฟังหรือแบบอ่าน และสรุปย่อยข้อมูลจากหลายแหล่งที่มาได้ โดยปรับเปลี่ยนประโยคหรือโต้เถียงความคิดเห็น รวมถึงการอธิบายสิ่งที่ตนเองคิดได้อย่างเป็นธรรมชาติและเข้าใจมุมองที่หลากหลายได้มากขึ้น เมื่อเจอสถานการณ์ที่มีความซับซ้อน |
CEFR สำคัญไหม?
CEFR เป็นกรอบมาตรฐานสากลที่ใช้อธิบายระดับความสามารถทางภาษาของผู้เรียน ดังนั้นจึงมีความสำคัญดังนี้:
- เป็นมาตรฐานร่วมในการอธิบายระดับความสามารถภาษา ทำให้มีภาษาร่วมกันในการสื่อสาร และเปรียบเทียบระดับความรู้ได้ง่ายขึ้น
- ช่วยให้การวางแผนหลักสูตร การสอน และการประเมินผลทางภาษามีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากมีเกณฑ์ที่ชัดเจน
- เป็นแนวทางให้ผู้เรียนได้ตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ และติดตามความก้าวหน้าของตนเองได้
- ช่วยให้การรับรองความสามารถทางภาษาเป็นมาตรฐานเดียวกัน สะดวกต่อการเคลื่อนย้ายแรงงานในกลุ่มประเทศสมาชิก
- กระตุ้นให้มีการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน และการทดสอบให้สอดคล้องกับมาตรฐาน CEFR
โดยสรุปแล้ว CEFR ช่วยสร้างมาตรฐานและการยอมรับร่วมกันในการอธิบายระดับความสามารถทางภาษา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน การประเมิน และการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศได้นั่นเอง และสำหรับคนที่สนใจอยากจะพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะด้านการสนทนา NOVA ONLINE มีคอร์สเรียนภาษาอังกฤษที่จะช่วยทำให้คุณสามารถสื่อสารได้อย่างเป็นธรรมชาติ หากสนใจก็สามารถกดดูรายละเอียดที่ด้านล่างนี้ได้เลยนะ!
ทำไมต้อง NOVA ONLINE ?
- สถาบันระดับ TOP ของญี่ปุ่น ปรับหลักสูตรเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ
- สอนโดย Professional Teacher คัดเลือกและอบรมอย่างดี
- พร้อมให้คำแนะนำ พัฒนาภาษาอังกฤษได้ตรงจุด
- คอร์สเรียนออนไลน์ สะดวก เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา
- เลือกคอร์สให้ตอบโจทย์ได้ตามไลฟ์สไตล์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม